Shirt (เชิ้ต): Function and Formality
เมื่อพูดถึง เชิ้ต ผมมี 2 แง่มุมที่อยากเล่าครับ
From inside to outside
หนึ่ง เสื้อเชิ้ตคล้ายเสื้อยืดในแง่มุมที่ว่า ก่อนที่เราจะใส่มันให้คนเห็นอย่างทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งมันคือ undergarment มาก่อน
พูดง่ายๆ คนสมัยก่อนใส่มันเหมือนชุดชั้นใน จุดประสงค์คือปกป้องผิว ให้ความอบอุ่นและรองรับเสื้อตัวนอก ดังนั้น หากเราปลุกคนสมัยร้อยปีก่อนขึ้นมาแล้วชี้ให้เขาเห็นคนยุค 2025 ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกจากบ้าน คงมีความรู้สึกไม่ต่างจากเราที่เห็นคนใส่บ็อกเซอร์แทนกางเกงขาสั้นแล้วออกไปซื้อโอเลี้ยงหน้าปากซอยหน้าตาเฉย
มันอาจไม่โป๊เปลือย แต่ก็ไม่สุภาพเท่าไหร่
คอวินเทจอาจเคยเห็นภาพทหารเรืออเมริกันช่วงสงครามโลกครั้งที่สองใส่แค่เสื้อยืดขาวกับกางเกงทหารเรือขายาวสีขาว สุมหัวกันเล่นไพ่ในยามทอดอารมณ์จากศึกสงคราม แต่แน่นอนว่า ยามออกรบ เขาสวมเครื่องแบบทับมันไว้อีกชั้นหนึ่ง
สักราวๆ ช่วงยุคห้าศูนย์เห็นจะได้ครับที่ undergarment อย่างเสื้อยืดเริ่มได้รับการยอมรับให้ใส่ได้โดยไม่ปกปิด ดาราหนังในช่วงเวลานั้นอย่าง Marlon Brando ใส่มันเดี่ยวๆ กับยีนส์เอวสูง เบรนโด้ในเสื้อยืดขาวแขนเต่อที่รับกับหัวไหล่กลมกลึงและกล้ามใหญ่ๆ คือสุดยอดของความขบถ ความมาสคิวลีนและความเซ็กซี่ของชายชาตรีในยุคนั้น

เสื้อเชิ้ตก็ไม่ต่างกันครับ อาจต่างจาก undergarment อย่างพวกชุดชั้นในตรงที่ มันมีบางส่วนที่โชว์ได้โดยไม่ต้องเขินนั่นคือปก สาบกระดุมส่วนกลาง และปลายแขนเสื้อ ลองนึกถึงสมัยก่อนที่ก่อนออกจากบ้าน จะหยิบแจ็กเก็ตหรือเสื้อตัวนอกมาสวมทับเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืด เรามักจะเห็นสามส่วนนั้น และที่คนสมัยก่อนนิยมพับเสื้อเชิ้ตและเก็บใส่ตู้หรือลิ้นชัก นอกจากจะประหยัดพื้นที่กว่าการแขวนแล้ว รอยยับจากการพับพวกนั้นจะถูกแจ็กเก็ตปิดไว้ เพราะเขารู้ไงครับว่า ฟังก์ชั่นของเชิ้ตพวกนั้นคือการเป็นเสื้อตัวในที่ซ่อนไว้และโชว์แค่บางส่วนอยู่ดี
Embrace the various fit
จริงอยู่ที่ทุกวันนี้ เราใส่เสื้อยืดและเสื้อเชิ้ตเดี่ยวๆ กันเป็นเรื่องปกติ (โดยไม่จำเป็นต้องสวม outer garment ทับไว้) ซึ่งผมก็ใส่ และหากทำถูกบริบทและกาลเทศะ มันก็ไม่โป๊เปลือยหรือถูกมองว่าไม่สุภาพ แต่สำหรับผม ยังมีหลายกรณีมากที่ผมใช้เสื้อเชิ้ตเป็น undergarment ผมจึงรีดมันและพับไว้ โดยเช็คให้แน่ใจว่าส่วนปก กลางลำตัวและปลายแขนเสื้อนั้นรีดคมกริบ และเช็คให้ชัวร์ว่าเสื้อตัวนั้นมีฟิตติ้งที่ไหล่กว้างพอที่จะไม่รั้งแขน และมีฟิตติ้งรอบคอที่พอดีกับคอผม พอดีในระดับที่คอเสื้อแนบกระชับกับคอคนใส่ ส่วนจะกระชับแค่ไหนนั้นใช้ความรู้สึกเอาเองครับ เพราะทฤษฎีที่ตำราหลายเล่มบอกว่า ต้องใส่นิ้วมือ 2 นิ้วลงไปรอบคอได้นั้น ใช้กับผมไม่ได้ เพราะแม้คอจะหลวม ผมก็ยัด 2 นิ้วเข้าไปได้สบาย และแม้คอจะคับ ผมก็ยัด 2 นิ้วเข้าไปได้อยู่ดี ดังนั้น ใช้ความรู้สึกเอาครับ ขอให้ไม่คับเป็นพอ

ทำไมผมจึงให้ความสำคัญกับความกว้างไหล่และฟิตติ้งรอบคอมากขนาดนั้น มี 2 เหตุผลครับ หนึ่ง นั่นคือส่วนที่จะถูกโชว์ให้เห็น และสอง การที่รอบคอฟิตพอดี นั่นคือสัญญาณว่าเชิ้ตตัวนี้ทำมาเพื่อผมจริงๆ
หลายคนอาจสงสัยว่า แบบนี้ผมก็ใส่เชิ้ตที่รอบอกใหญ่กว่าอกจริงได้ตราบเท่าที่ไหล่กว้างพอและคอพอดีใช่ไหม
ใช่ครับ ผมไม่ mind เลยว่าเชิ้ตตัวนั้นจะโคร่งแค่ไหนตราบเท่าที่ไหล่กว้างพอและคอพอดี เพราะอย่างที่บอกไป ผม treat เชิ้ตหลายตัวเป็น undergarment ในหลายกรณี มันถูกใส่อยู่ด้านในและโดนแจ็กเก็ตทับไว้อยู่ดี
เชิ้ต button-down วินเทจ Brooks Brothers Made in USA ที่ผมมีนั้นมีตั้งแต่ฟิตติ้งรอบอกกระชับอย่างเสื้อสมัยใหม่ที่ใส่เดี่ยวๆ แล้วสวยพอดี กับฟิตติ้งตัวโคร่งอย่างที่นักเรียนไอวี่ลีคยุคเก่านิยมใส่กัน เพราะนั่นคือ undergarment และความโคร่งพวกนั้น มันคือหลักฐานที่บ่งบอกค่านิยมในแต่ละยุคสมัยครับ ที่อยากจะบอกคือ จงโอบรับความหลากหลายของแฟชั่นในแต่ละยุคสมัย สนุกไปกับความไม่คุ้นเคย และอย่าตึงกับเสื้อเชิ้ตเกินไป มันยังมีอีกหลายปัจจัยที่ประกอบให้ลุคนั้นกลมกล่อมและสมบูรณ์
Collar and its formality
แง่มุมที่สองที่อยากเล่าคือ เสื้อเชิ้ตเองก็มีระดับความเป็นทางการเช่นกัน องค์ประกอบอย่างรูปแบบปกเสื้อ ปลายแขน ฟิตติ้ง และชายเสื้อ ล้วนส่งผลต่อระดับความเป็นทางการและถูกใช้ในโอกาสที่ต่างกัน

ปก wing collar จึงเกิดมาคู่กับ bow-tie ทั้งโบว์ขาวที่ใส่กับ evening dress coat และโบว์ดำที่ใส่กับ dinner suit หรือทักซิโด
ปก straight collar ที่แหลมแต่ไม่แหลมเท่า spear collar และเว้นช่องไฟระหว่างคออย่างพอดีจึงเหมาะอย่างยิ่งกับโบว์ไทสีดำในวันที่ไม่อยากใส่ wing collar shirt กับ tuxedo
ปก spead collar ในองศาที่ห่างกัน จึงดูกลมกล่อมกว่าหากใส่มันและผูกไทแบบ windsor knot เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่กว้างนั้น (จริงๆ แล้ว four-in-hand knot ก็สวยเช่นกันครับ) และมันอาจดูเหมือน ‘ขาดอะไรไป’ หากใส่มันปลดกระดุมโดยทิ้งเน็กไทไว้ที่บ้าน ตรงนี้บางคนอาจรู้สึก แต่ผมไม่
ปก button-down collar จึงเป็นปกที่ผมโปรดปรานมาก พอๆ กับที่นักเรียนไอวี่ลีคก็ชอบมันมากเช่นกัน สำหรับผม มันคือปกที่แคชวลแทบจะที่สุดสำหรับ dress shirt จนบางคนไม่นับว่ามันคือ dress shirt แต่คือ casual shirt หรือ sport shirt มากกว่า เพราะหากย้อนไปที่จุดกำเนิดของมัน จริงๆ แล้ว มันเกิดในสนามโปโล เมื่อนักกีฬาโปโลรำคาญปกที่พริ้วตามแรงลมขึ้นมาปรกหน้า นั่นบันดาลใจ Brooks Brothers ให้กลับมาพัฒนากระดุมเล็กๆ ใต้ปกเพื่อกลัดและยึดปกไว้ให้อยู่กับที่ (และนั่นคือที่มาของชื่อ The Original Polo Button-Down) ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหมครับ แต่ตำแหน่งกระดุมเล็กใต้ปกนั้นต้องอยู่ในระยะที่พอดี เมื่อกลัดปกไว้กับกระดุม ตัวปกจะเกิดเป็น s-curve ที่ทิ้งตัวแบ่งมีโวลลุ่มและเป็นธรรมชาติ หากระยะกระดุมไกลไป ปกจะตั้งตรงและแบน หากใกล้ไป ปกจะโค้งเป็นตัวเอสอ้วนที่ทั้งย้วยและเลี่ยนในสายตา กุญแจสำคัญคือความพอดีที่แต่ละแบรนด์ตีความออกมาไม่เหมือนกัน
และเพราะองค์ประกอบของ button-down shirt นั้นดูแคชวลแต่กลับถูกเอามาใช้ในโอกาสฟอร์มอล (โดยเฉพาะในหมู่อเมริกันชน) เมื่อใส่กับแจ็กเก็ตหรือสูททางการ มันจึงเป็นเชิ้ตที่บาลานซ์ความทางการให้ดูสบาย ผ่อนคลาย เข้าถึงง่ายแต่ยังคมคายในท่าที
From ranch to urban life
นอกจาก casual หรือ sport shirt แล้ว work shirt คือเชิ้ตอีกประเภทที่คนปัจจุบันหยิบมาใส่โดยหารู้ไม่ว่าครั้งหนึ่งเขาเอาไว้ใส่ทำงานเฉพาะทาง หนึ่งในนั้นคือ western shirt มันคือเชิ้ตที่คาวบอย Rodeo คนทำปศุสัตว์ใส่กัน เอกลักษณ์คือ Yoke รูปปีกนกคว่ำ กระเป๋าแบบมีฝาปิดหรือ flap pocket ที่เอาไว้ใส่ของและปิดฝาไว้ ป้องกันของหล่นยามควบม้า ไปจนถึงกระดุมแป๊กที่เปิดปิดง่ายกว่ากระดุมกลัด และเพราะความง่ายแบบนี้ ทำให้เหล่าคาวบอยหรือคนบนหลังม้าเซฟตัวเองได้ทันหากตัวเสื้อไปเกี่ยวเข้ากับพุ่มไม้หรือเขาวัว แรงกระชากจะปลดกระดุมแป็กเหล่านั้น ทำให้คนใส่ถอดเสื้อได้ทันในเวลาคับขันที่อาจถึงแก่ชีวิต
เมื่อนำ western shirt ที่เปี่ยมมรดกจากวัฒนธรรมบนหลังม้ามาใส่ในบริบทอื่น ผลลัพท์คือความสมบุกสมบันที่เข้ากันกับความ dressy ใส่มันกับ tweed jacket นั่นคือ country wear สุดคลาสสิก ใส่มันกับสูททางการเพื่อเบรกความทางการ หรือจะใส่มันเดี่ยวๆ กับยีนส์ นั่นก็คือวิธีใส่ที่คนบนหลังม้าทำกันมาเนิ่นนาน

Hitoyoshi for Refinement ทั้ง 2 โมเดลคือเชิ้ตที่เกิดจาก heritage เหล่านั้น Dress western shirt ในผ้า chambrey สุดคลาสสิก ไปจนถึงผ้า seersucker สีเบจและเขียวมะกอก และ button-down shirt แบบดั้งเดิมที่ปกสร้าง s-curve ในองศาที่พอดี มาในผ้า seersucker, stripe และ chambray นี่คือเชิ้ตสารพัดโอกาสครับ button-down stripe ปลดกระดุมสักสองเม็ดในวันที่ร้อนก่อนฝนแรกของฤดูจะกระหน่ำ button-down chambray ผูกไทใส่กับสูทเรยอน ไปจนถึง western shirt ผ้า seersucker รับหน้าร้อนที่ใส่ง่ายๆ กับยีนส์ตัวเก่าก็เอาอยู่ คือนั่นคือข้อพิสูจน์ว่า มันใส่กับอะไรก็ได้ สุดแต่จินตนาการและใจที่เปิดกว้างจะพาไป
อ่านมาถึงบทความนี้ ผมเชื่อแน่ครับว่าคุณย่อมมีพื้นความรู้ในการสร้างสไตล์ของตัวเองแล้วครับ สุดท้ายที่อยากจะฝากไว้คือ ไม่ว่าที่มาหรือการจัดประเภทของเชิ้ตนั้นจะเป็นอย่างไร หน้าที่คุณคือการหยิบมันมาใส่ในแบบของตัวเองให้ได้ และสนุกไปกับมัน เพราะนั่นคือทางเดียวครับที่ทำให้เสื้อผ้าเหล่านั้นกลับมามีชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น
เรื่อง Korakot Unphanit
ภาพ Opal Suwannakeeta


