Style Tips 04: Customize your identity
เพราะแฟชั่นและการแต่งกายนั้นมองได้หลายเลเยอร์ครับ
อย่างที่ผมเคยบอกไปว่า คุณจะคิดว่าทุกการซื้อของคือการใช้จ่ายเพื่อความสุขเพียงผิวเผินก็ได้ หรือจะคิดว่ามันคือกระบวนการในการตรึกตรองตนเองก็ได้เช่นกัน
น่าคิดครับว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจซื้อของสิ่งนั้น
มันไม่กลวงเปล่าแน่นอนครับ หากนั่นคือสิ่งที่เขาครุ่นคิดยามตื่น และทุกค่ำคืน มันยังปรากฎชัดในความฝัน
และคงน่าเศร้าไม่น้อยหากเขาเลือกของสิ่งนั้นเพียงเพื่อ ‘เอาใจใคร’ ที่ไม่แม้แต่จะรู้จักกันในชีวิตจริง
และถึงแม้ผมจะชอบสูทวินเทจมากแค่ไหน แต่ไม่มีอะไรมาแทนที่ความรู้สึกตอนผ่านกระบวนการการตัดสูทแบบ customize ได้อีกแล้วครับ
ที่ต้องใช้คำว่า customize เพราะผมเหมารวมการตัดเสื้อหรือสั่งทำสิ่งของทุกแบบที่คุณต้องเลือกและตัดสินใจในหลายขั้นตอนด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Made-to-order, Made-to-measure ไปจนถึง Bespoke

และขั้นตอนที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น มันสะท้อน ‘การตรึกตรองตนเอง’ ได้อย่างแท้จริง
มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า สูทสั่งตัดตัวนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ผมเข้าใจตัวเองในตอนนี้มากเพียงใด และยอมเปิดใจให้ช่างเข้ามาในโลกของตัวเองมากแค่ไหน
ผมไม่มีวันได้แจ็กเก็ตที่ ‘ตรงกับความต้องการจริงๆ’ หากไม่ยอม ‘เปิดอกคุย’ กับช่างตรงๆ ตรงนี้คล้ายกระบวนการที่นักเขียนต้องเจอก่อนเขียนงานเหมือนกันครับคือ ต้องฟังเสียงตัวเอง และเล่ามันออกมาอย่างจริงใจ ผู้ฟัง (ในที่นี้คือตัวเองและช่าง) จะสะท้อนและขัดเกลาเสียงนั้นให้ออกมาตรงกับเจตนาในการสื่อสารครั้งนี้ให้มากที่สุด
วินาทีนั้นแหละครับที่คุณอาจค้นพบว่า สิ่งที่เคยคิดว่าชอบ (เพราะอ่านมาหรือคนอื่นบอกว่าดี) จริงๆ แล้ว คุณอาจไม่ชอบมันเลย หรือในระดับที่ลึกไปกว่านั้น มันอาจทำให้คุณพบตัวตนข้างใน พบว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นคนแบบนี้ หลายครั้งมันนำมาซึ่งความสุขสมหวัง แต่หลายครั้งก็นำมาซึ่งความผิดหวังในเนื้อแท้ของตัวเอง การคุยกับตัวเองคือขั้นแรกของการตรึกตรองตน มันคือการเผชิญหน้ากับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ในนั้นคุณจะพบความปรารถนาเบื้องลึก ความกลัวที่ปกปิดไว้ ความไม่มั่นใจที่พยายามเลี่ยงมาตลอด จงยอมรับมัน และแชร์มันให้ช่างของคุณฟังครับ
สูทตัวนั้นจะไม่มีวันฟิตพอดีกับคุณ หากคุณไม่ ‘เปลือยตัวตน’ ต่อหน้าช่าง

ผมไม่ได้หมายความว่า ให้คุณแก้ผ้าต่อหน้าเขานะครับ แต่เปลือยในทีนี้คือ คุณต้องปล่อยตัวตามธรรมชาติ ในเซนส์นี้ ช่างจึงไม่ต่างจากหมอ เขาไม่ใช่คนที่คุณจะต้องแขม่วพุงเพื่อปกปิดว่าจริงๆ แล้วคุณอ้วนแค่ไหน ไม่ใช่คนที่คุณต้องยืดหลังตรงเหมือนอยู่ต่อหน้าครูฝึก ทั้งที่ปกติแล้วคุณเอนตัวและหัวไปข้างหน้าทุกครั้งที่เผลอ จงเผยตัวตนจริงๆ ของคุณออกมา และนั่นคือวินาทีที่คุณอาจเพี่งรู้ว่า จริงๆ แล้วคุณเป็นคนผอมที่มีพุง ไหล่คุณไม่เท่ากันมากๆ ขาคุณโก่ง และอีกหลายคุณลักษณะที่ห่างไกลจากคำว่าบุคลิกภาพดี แต่นั่นคือคุณครับ
ผมเองก็เป็นคนที่เคยยืนหลังค่อมมาตั้งแต่เด็ก เพราะสูงเกินเพื่อนในตอนนั้นจึงค่อมตัวเองลงจนติดเป็นนิสัย เคยยืนไหล่ห่อเพราะไม่มั่นใจ ทุกวันนี้ ผมห่างไกลจากบุคลิกภาพแบบนั้นมากครับ ผมเปลี่ยนตัวเองใหม่ ที่อยากจะบอกคือ การจะเปลี่ยนได้ คุณต้อง ‘ยอมรับ’ สิ่งที่เคยเป็นมาก่อน หากคุณรู้แล้วว่ายืนหลังค่อมมาตลอดและอยากจะเปลี่ยนการยืนใหม่ (เหมือนผม) จงใช้โอกาสนี้ในการฝึกตัวเองครับ แจ็กเก็ตของผมทุกตัวตัดมาในแพทเทิร์นสำหรับฟิกเกอร์ที่ยืนแบบ erect หน่อยๆ (หลังตรง ยืดอกเล็กน้อย) เพราะผมชอบที่ตัวเองยืนแบบนั้น มันทำให้ผมมั่นใจ พร้อมรับแรงกระแทกจากทุกปัญหา และผมมั่นใจว่านั่นคือ gesture ที่ผมจะรักษาไว้ตลอดชีวิต
มาถึงการเลือกผ้า แค่เลือกที่ชอบ ตัดสินใจ และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น
ใครเคยผ่านขั้นตอนนี้มาย่อมรู้ดีว่า มันเรียบง่ายแต่ยากเหลือเกิน
แต่นี่คือขั้นตอนที่คุณควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ และสำหรับผม สนุกดีครับที่ได้เห็นบางอย่างที่แต่ละคนเลือก มันสะท้อนบางสิ่งในตัวเขาเสมอ
คงมีอะไรดลใจให้คนที่ไม่เคยญาติดีกับสีดำเลย เลือกตัดแจ็กเก็ตสีดำเป็นครั้งแรก

ทำไมบางคนเลือกสูทลาย Prince of Wales เป็นสูทตัวแรก ขณะที่นั่นอาจสูทตัวที่ 3 ขึ้นไปของใครหลายคน
เขา conservative แค่ไหน เขายึดติดกับกฎเกณฑ์เพียงใด เขาเลือกเพื่อตัวเอง…หรือเพื่อใคร
นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการตรึกตรองตนเองที่คุณจะได้เจอในกระบวนการนี้ครับ
ห้องเสื้อที่ทำให้ผมกลับเข้าสู่กระบวนการนี้อีกครั้ง หลังหมกมุ่นกับสูทวินเทจอยู่แรมปี คือ Lecteur ครับ ยูกิซังและทีมงานกลับมาทำทรังค์โชว์กับทาง The Refinement ในวันที่ 2-3 สิงหาคม 2025 พูดง่ายๆ คือพรุ่งนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์ เขามาพร้อมฟิตติ้งการ์เมนต์จากทั้งโมเดลซิกเนเจอร์อย่าง LC-10 ในตัตติ้งที่มาพร้อมเส้นสายสไตล์อังกฤษ แต่โครงสร้างบางเบาอย่างอิตาเลียน และโมเดล LC-20 กับเส้นสายและโครงสร้างบางพริ้วอย่างสูทอิตาเลียนตอนใต้ ถ้าคุณมีเวลาและกำลังมองหาอีกหนึ่งห้องเสื้อคุณภาพ ผมแนะนำให้ไป แต่ถ้าไม่ นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาแน่นอนครับ
ทำไมผมจึงแนะนำ Lecteur ได้อย่างเต็มปาก?

ผมมี 2 ตัว LC-10 ทั้งคู่ ตัวแรกคือ double-breasted jacket ผ้า wool-silk จาก John Cavendish ทอลาย Houndstooth สีดำบนพื้นหลังสีดำ มองไกลๆ มันคือแจ็กเก็ตสีดำธรรมดา แต่เมื่อมองใกล้ ส่วนผสมของไหมจะทำให้เห็นลายผ้าสะท้อนมากับแสงไฟ ผมใส่มันทุกงานตั้งแต่งานแต่งในธีมสีดำ จิบกาแฟคุยงานกับลูกค้า งานแสดงความอาลัย ไปจนถึง black tie ทางเลือก
อีกตัวคือ single-breasted jacket ผ้า wool-silk-cashmere สีครีมจาก Dormeuil ที่ผมตั้งใจให้แจ็กเก็ตตัวนี้ออกมาเรียบง่ายที่สุด แต่ sophisticate ที่สุดเช่นกัน ความเรียบง่ายภายใต้แจ็กเก็ต 3 กระดุม สีครีม พร้อมปก notch ของมันจะหลอกสายตามือสมัครเล่นว่า ‘ไม่มีอะไร’ แต่กับสายตาเปี่ยมประสบการณ์จะเห็นความนุ่มนวลของเส้นสาย ปก notch และ gorge line ที่อ่อนช้อยแต่ไม่เลี่ยน และผ้าแคชเมียร์ทอบางที่คนที่ลองผ้ามามากเท่านั้นจึงจะรู้ว่า มันใส่หน้าร้อนสบายกว่าผ้าลินิน

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทั้ง 2 ตัวมีเหมือนกันคือ การตี dart ลากยาวจากอกจรดชายเสื้อ เส้นนี้ทำให้สะโพกของแจ็กเก็ตโอบรับกับสะโพกคนใส่ เหลาหุ่นคนใส่ให้คล้ายนาฬิกาทราย อกผาย ไหล่กว้าง เอวคอด สะโพกกระชับ นั่นคือ silhouette ที่ไม่เรียกร้องความสนใจ แต่รู้ว่า ‘เจนจัด’ ในศาสตร์แห่งสูท
นอกจากแจ็กเก็ตที่ทำมาดีมากแล้วนั้น ผมคิดว่า ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างห้องเสื้อกับลูกค้าคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผมชอบ Lecteur
ถ้าคุณคิดว่า นี่คือห้องเสื้อญี่ปุ่นที่มาพร้อมความ conservative แบบญี่ปุ่น และนิ่งเงียบแบบญี่ปุ่นแล้วนั้น คุณคิดผิดถนัด เพราะแค่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมสัมผัสได้ถึงความเปิดกว้าง ความอยากทดลองสิ่งใหม่ และความกระตือรือร้นที่อยากจะเข้าใจตัวตนของลูกค้าทุกคน ความเข้าใจนั้นขยับความสัมพันธ์จากลูกค้ากลายเป็นเพื่อน และนั่นคือก้าวสำคัญที่ทำให้เสื้อผ้าชิ้นนั้นมีคุณภาพ เป็นมากกว่าเสื้อผ้า และกลายเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความเข้าใจ
เพราะถ้าคุณอยากได้แค่เสื้อผ้า เดินเข้าห้างก็ซื้อได้แล้วครับ
แต่ถ้าอยากได้เสื้อผ้าที่สะท้อนการตรึกตรองตนเอง ห้องเสื้อนี้และกระบวนการแบบนี้คือสิ่งที่คุณตามหา ลองเข้าไปด้วยใจที่เปิดกว้าง แล้วคุณจะได้รู้จักอีกด้านที่ถูกตัวเองซ่อนไว้มานาน
เรื่อง Korakot Unphanit
ภาพ Opal Suwannakeeta

